ย้อนฟัง แม่สีดา พัวพิมล เล่าชีวิตเคยลำบาก ข้าว 1 กล่องต้องกินให้ได้ถึง 3 มื้อ

Author:

ย้อนฟัง แม่สีดา พัวพิมล เล่าชีวิตเคยลำบาก ข้าว 1 กล่องต้องกินให้ได้ถึง 3 มื้อ จากชีวิตหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ก่อนมาเจอแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

หลังการจากไปของ แม่สีดา พัวพิมล อายุ 70 ปี โดยพบเสียชีวิตภายในอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง ซอยลาดพร้าว 64 แขวงวังทองหลางและเขตวังทองหลาง กทม. ท่ามกลางความเสียใจของครอบครัวและแฟนๆ ที่ติดตามผลงานของ แม่สีดา มาตลอด

ผลงานที่ แม่สีดา ฝากทิ้งไว้พร้อมรางวัลการันตีคงเป็นภาพยนตร์เรื่อง “วิมานหนาม” (The Paradise Of Thorns) ภาพยนตร์ที่ทำให้ “ความบันเทิงแบบวาย” สามารถกลายสภาพเป็นปากเสียงอันทรงพลัง สะท้อนให้ผู้ชมมองเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงและปัญหาต่างๆ ที่ยังคงดำรงอยู่ในสังคมไทยยุคปัจจุบัน

และได้คว้ารางวัลแรก ได้แก่ รางวัลภาพยนตร์แห่งปี จาก FEED Y AWARDS 2024 งานสุดยิ่งใหญ่ที่จัดขึ้นโดย FEED สื่อผู้ผลิตคอนเทนต์ไลฟ์สไตล์ในเครือมติชน

แม่สีดา พัวพิมล หนึ่งในนักแสดงนำของภาพยนตร์เรื่อง วิมานหนาม รับบทเป็น แม่แสง แม่ผู้สู้ชีวิตกัดฟันดูแลลูกชายมาอย่างดีเสมอ แต่ต้องสูญเสียลูกชายไปอย่างไม่มีวันกลับ และประชันฝีมือทางการแสดงชิงสวนทุเรียนกับ อิงฟ้า วราหะ และ เจฟ ซาเตอร์

สีดา พัวพิมล เล่าย้อนอดีตให้ฟังถึงตอนสาวๆ ว่า เธอเป็นคนที่หาเงินเก่งมาก ช่วงที่เธออายุ 20 กว่าๆ บริษัทโฆษณาถึงกับซื้อตัวให้ไปทำงานด้วย ได้เงินเดือนเดือนละ 1 แสน เมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว ไม่รวมกับเงินค่าเล่นหนัง เล่นละคร

เมื่อรู้สึกว่าตัวเองทำงานหนักมาก หาเงินได้เยอะ ก็ให้รางวัลกับตัวเองหนักมากเช่นกัน หมดไปกับการกินการเที่ยว เพราะมองว่าเราทำงานเหนื่อยแล้ว โดยไม่ได้คำนึงอย่างรอบคอบเลยว่าเราต้องรู้จักเก็บออม เพราะไม่คิดว่าเงินมันจะหมดไปง่ายๆ และชีวิตในวงการมันเข้าง่าย แต่อยู่ยาก การแข่งขันสูง จนวันหนึ่งเมื่อถึงทางตัน ให้จำไว้ให้ดีว่าถึงเวลานั้น โทรหาใครก็ไม่มีคนรับสาย

“แม่ก็ให้รางวัลกับชีวิตตัวเอง เพราะเรามองว่าตัวเองเหนื่อยมาตั้งแต่สาว และเราก็ต้องดูแลครอบครัวเรา ให้รางวัลชีวิตตัวเองมากเกินไป เราก็อยากจะแนะนำน้องๆ ในวงการ คือต้องรู้จักเก็บออม แล้วก็ไม่ต้องไปฟู่ฟ่าบ้ายี่ห้อตามคนอื่น เราเป็นเรา เราชอบแค่นี้เราเอาแค่นี้ และตัวแม่เองเราเป็นคนใจดีด้วย ใครเดือดร้อนมาก็มา แต่พอเราลำบากแล้วไม่ได้เลย ไม่ใช่ไม่ขอ ไปขอเขายังไม่ได้ โทรไปเขายังไม่รับสาย ให้จำตรงนี้ไว้จริงๆ”

ตลอดระยะเวลาที่หายไป ช่วงนั้นแม่สีดา เผชิญกับวิกฤตในชีวิตหนักมากทั้งเรื่องคดีความ การสูญเสีย เรื่องเงิน ส่งผลให้ทนทุกข์ทรมาน แต่เลือกที่จะไม่ติดต่อใครเลย เพราะไม่อยากให้ใครคิดว่าตัวเองจะไปรบกวนเขา จนเพื่อนเก่าก็พยายามติดต่อมาก็ได้พูดคุยกัน นัดกินข้าวกันจนถึงทุกวันนี้

หลังผ่านเหตุการณ์สุดช็อกกับการสูญเสีย อ๊อฟ อภิชาติ ลูกชาย จากนั้นแม่สีดา เริ่มใช้ชีวิตลำพัง ในห้องเช่า เธอเล่าว่าในชีวิตไม่เคยนอนคนเดียวเลย เพราะเป็นคนกลัวผีมาก กว่าจะปิดไฟนอนได้ ต้องใช้เวลาเป็นปีๆ

ชีวิตที่หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง

“ช่วงนั้นแม่มีกินบ้างไม่มีกินบ้าง ข้าวกล่องหนึ่งแม่ต้องกินให้ได้ถึง 3 มื้อ เพื่อประหยัด ตอนนั้นแย่ แม่หมดตัว แม่หมดทุกสิ่งทุกอย่าง หมดแม้กระทั่งครอบครัว เป็นคนที่ไม่มีอะไรเลย กินไข่ทุกวันทุกมื้อจนจะขันได้ แต่เดี๋ยวนี้ชีวิตก็ดีขึ้นมา ได้กินหมูไก่กับเขามีงานบ้าง ก็ดีนะมามีตอนแก่ ซึ่งเราเองเราก็ยังไม่หมดไฟ”

“ตอนนั้นมีคนเคยถามแม่นะ ว่าเคยคิดจะฆ่าตัวตายไหม แม่ก็หัวเราะ แม่ไม่บ้าอย่างนั้นหรอก เกิดกว่าก็ยากนะถูกไหม กว่าจะได้เกิดมาเราไปคิดทำไมฆ่าตัวตาย เราคิดที่จะแก้ปัญหาไม่ดีกว่าเหรอ เราค่อยๆ แก้ปัญหาไปเดี๋ยวมันก็คลายได้ คุณคิดจะตาย ตายได้ตลอด ตายได้ทุกวัน คนจะรู้ก็ 3 วันกลิ่นออกไปแล้ว สีดา พัวพิมล ตายคาห้อง แต่เราจะทำ ทำไม ทำไปเพื่ออะไร สู้ไม่ดีกว่าเหรอ จนวาระสุดท้ายของชีวิต”

“แม่เจ็บนะ แม่เจ็บปวดมาก ช่วงนั้นเป็นช่วงที่แม่เจ็บปวดทนทุกข์ทรมานมาก และแม่ตัวคนเดียว หันซ้ายก็ติด หันขวาก็ติด หันหน้าก็ติด ไม่มีเลย ฉันจะออกไปทางไหน แต่ฉันต้องออกให้ได้ๆ และคำว่าต่ำสำหรับแม่มันยังน้อยไปนะ มันต้องเรียกว่ามิดธรณี มิดจริงๆ ลูก แม่ไม่มีอะไรเลย หมดทุกสิ่งทุกอย่างทั้งบ้านทั้งรถทั้งอะไรทุกอย่าง ทั้งครอบครัว มันไปโดยอัตโนมัติ”

แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

กว่าจะผ่านช่วงเวลาอันยาวนานมาได้ แม่สีดา เล่าว่า พยายามใช้สติ ค่อยๆ แก้ไขปัญหาที่มันถาโถมมาทีละข้อ บางครั้งก็พลาดไปกระตุกเชือกให้มันแน่นเข้าไปอีก แต่สุดท้ายคนที่ต้องแก้มันก็คือตัวเราเอง ถึงมันจะเจอทางตัน ไม่รู้ว่าอุโมงค์ที่ลอดเข้าไปจะมีทางออกไหม แต่เราก็ต้องเดินและเดินต่อไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายเราก็ออกมาได้แล้ว

วันหนึ่งแม่สีดา รับโทรศัพท์ได้โอกาสเล่นภาพยนตร์เรื่องแดนสาปของ อุ๋ย นนทรีย์ นิมิบุตร กำกับภาพยนตร์โดย ต้อย ภาณุ อารี กับบทบาทของ ไซหนับ ซึ่งเป็นบทที่ท้าทายมาก เช่นการพูดภาษามลายู การห้อยตัวอยู่บนสลิงกับรถเข็น

ก่อนได้รับโอกาสอีกครั้งจาก GDH กับภาพยนตร์เรื่องวิมานหมาน ในบท แม่แสง แม่สีดา บอกว่ารู้สึกดีใจและขอบคุณมากๆ ที่เลือกตัวเองเข้ามาเล่น พร้อมพูดติดตลกว่าสงสัยดวงของเธอจะเปิดแล้ว หลังไม่มีจะกินมาร่วม 20 ปี ใครจะไปคิดว่าคนอายุ 70 ปี จะได้รับความเมตตามีงานเข้ามา ทำให้ตอนนี้เธอได้กินน้ำพริกปลาทูแบบที่อยากกินแล้ว

หลังร้างลาวงการไปนานแน่นอนว่าหลายๆ สิ่งมันก็เปลี่ยนแปลงไป ทั้งระบบการแคสต์นักแสดง สมัยก่อนถ้ารับเลือกแล้วจะไม่มีการแคสต์ แต่ตอนนี้ต้องแคสต์ทุกคน แม่สีดา บอกว่าเธอก็แอบกังวลใจว่าหากแคสต์ไม่ผ่านหน้าจะแตกไหม แต่บุญวาสนาก็ทำให้ผ่านทุกเรื่อง และหากมีโอกาสได้รับรางวัลใดสักครั้ง เธอจะขอถือมันไว้ในมือแทนดอกไม้ ในวันที่เธอเสียชีวิต เหมือนกับตอนที่ลูกของเธอได้รับรางวัล แล้วเธอขึ้นไปรับ ถือว่าเธอได้ตายตาหลับแล้ว

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *