โตโน่ ภาคิน เปิดที่มาจากศิลปินสู่ประธานสโมสรฟุตบอล ควักเงินตัวเองเยียวยาทีมเพื่อไปต่อ ส้ม ณัชพร ซัพพอร์ตเงิน 5 หมื่นกลางรายการ
นักร้อง นักแสดงมากฝีมือ โตโน่ ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ ที่วันนี้จะมาเผยจุดเปลี่ยนจากศิลปินสู่นักฟุตบอลอาชีพ และจากนักฟุตบอลอาชีพสู่ประธานสโมสรแบบไม่ทันตั้งตัวกับรายจ่ายของสโมสรเดือนละ 2 ล้านบาท พร้อมเปิดใจครั้งแรกหลังสูญเสียอาม่าวัย 106 ปีไปอย่างไม่มีวันกลับ ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่องOne31 ที่มี เป็กกี้ ศรีธัญญา และชมพู่ ธัณย์สิตา เป็นพิธีกร
เป็นนักแสดง นักร้อง ล่าสุดเป็นนักฟุตบอลอาชีพได้ยังไง ? โตโน่ : “ตอนนั้นเป็นช่วงโควิด ผมถ่ายละครเรื่อง พระจันทร์แดง ของช่องOne แล้วเขาอยากให้พระเอกกล้ามชัดๆ ตอนนั้นในกรุงเทพฯ ฟิตเนสมันปิดหมด ก็เลยปรึกษากับเพื่อนที่เป็นนักฟุตบอล เขาบอกว่าฟุตบอลมันยังต้องแข่งแล้วในสนามมันมีครบหมดเลย มันมีทั้งฟิตเนสและมีการซ้อมภายใน ผมก็เลยไปอยู่ที่ราชบุรี ไปฟิตเนสมาเพื่อถ่ายพระจันทร์แดงเพราะตอนเช้าเราฟิตเนส ตอนเย็นไปนั่งดูทีมราชบุรีซ้อมเลยได้มีโอกาสไปซ้อมด้วยกับเขา และได้คุยเซ็นเป็นนักเตะอาชีพดีกว่า แต่เป้าหมายจริงๆ เราไม่ได้รับเงินเดือน เราต้องการมาช่วยทีมขายเสื้อ เพราะตอนนั้นแฟนบอลไม่สามารถเข้าสนามได้ก็เลยมาช่วยหารายได้ เป็นการตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ”
รู้ตัวไหมว่าหลงรักฟุตบอลตั้งแต่เมื่อไหร่ ? โตโน่ : “ตั้งแต่เด็กครับ แต่ว่าในยุคผมฟุตบอลยังไม่เป็นอาชีพที่มั่นคงได้ มันต้องเรียนไปด้วยเตะบอลไปด้วย แล้วตอนนั้นลีกอาชีพจริงๆ มันยังไม่มีก็เลยไม่ได้เป็นความฝันว่าจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพ”
ตอนนี้คุณได้เป็นประธานสโมสรฟุตบอล ? โตโน่ : “ครับ”
ทำไมคุณถึงได้เป็นประธาน ? โตโน่ : “ผมเก่ง ตอนแรกจะเริ่มต้นเหมือนทั่วไปเหมือนสโมสรอื่นๆ เราก็มาเป็นนักเตะ เพื่อนผมเขามาเตะที่เกษตรศาสตร์ในปีนี้ แล้วบางคนใกล้จะเลิกเล่นแล้ว เราก็อยากมาซ้อมด้วยกัน ความทรงจำดีๆ ร่วมกับเพื่อน อยากมาช่วยเกษตรศาสตร์ พอซ้อมไปสักพัก ในกรุ๊ปของทีมจะคุยกันว่า เงินเดือนไม่ออก เงินเดือนเลื่อน นักเตะ 30 คน สตาร์ฟ 10 คน แล้วทีมงานอีก 50 คน”
ไม่ได้นานไหม ? โตโน่ : “3 เดือนครับ ได้มาคนละ 5 พันบาท แล้วอีกคนก็มายืมผม 2 ล้านบอกว่าจะต้องจ่ายค่าเหนื่อยนักเตะ ผมก็ถามกลับเขาไป ฟุตบอลมันไม่ได้เตะกัน 1-2 เดือนนะพี่ มันเตะกันประมาณ 8 เดือน แล้วเดือนหน้าพี่จะเอาที่ไหนมาจ่าย เขาบอกว่าผมไปหาขายที่ ผมก็เลยบอกว่ามันไม่ใช่แล้ว เราต้องพูดความจริงกับนักเตะในทีมนะ มันจะได้รู้ว่าชีวิตมันจะเจอกับอะไร”
ผู้บริหารกลุ่มก่อนหน้านี้บริหารผิดพลาด ? โตโน่ : “ผมไม่รู้เลยว่าเพระอะไร 1. ผมไม่ใช่ตำรวจ 2. ผมไม่ได้เข้ามาจับผิดใคร เข้ามาเพื่อช่วยให้ 50 ครอบครัวนี้มีเงินจ่ายค่าเทอมลูก”
จากนั้นโตโน่ทำอะไรต่อ? โตโน่ : “ทีนี้ทางบอร์ดบริหารนัดประชุมว่ากลุ่มทุนนี้ไม่ใช่แน่ๆ เราก็มาปรึกษากัน พี่โน่มาเป็นประธานให้ได้ไหม ผมรู้ว่ามันหนัก มันเป็นเรื่องใหญ่”
จากที่ผ่านมาที่ประชุมกันต้นตอของการไม่จ่ายเงินเดือน มันมาจากกลุ่มนั่นใช่ไหม? โตโน่ : “ก็กลุ่มนั้นอยู่แล้ว เรื่องสัญญาไปคุยกันยังไงผมไม่รู้ แต่เรื่องสัจจะเป็นผู้ชายต้องมี ไม่ใช่เอาแต่เรื่องกฎหมายมาพูด คุณบอกว่าจะทำแบบนี้ แต่คุณไม่ทำ คุณหลอกเขา คุณให้ความหวังเขา ผมมองว่ามันไม่ถูกแล้ว มันเป็นเรื่องของคำพูดคน แค่ทุกวันนี้คนไม่มีสัจจะ”
พอมีคนยื่นข้อเสนอว่าให้เราเป็นประธานเราทำยังไง ? โตโน่ : “เราขอไปคิดก่อนประมาณ 1 อาทิตย์ ผมรู้ว่ามันหนักแน่ เพราะเดือนละ 2.3 ล้าน แล้วผมก็ยังไม่รู้เลยว่าเงินที่ให้เรา บริษัทเขาบอกเราว่ามีบางส่วน”
พอเข้าไปดูจริงๆ เหลือเท่าไหร่? โตโน่ : “859 บาท บางคนผมไม่ได้สนิทกับเขาหรอก มันมีแค่ 2 ทางให้ผมเลือก คือจะช่วยเขา หรือผมจะทิ้ง”
แล้วคนอย่างโน่ ชอบการกุศล ช่วยเหลือคนอยู่แล้ว และเพิ่งไปดูมาว่าก่อนหน้านี้มีเงินสปอนเซอร์? โตโน่ : “ผมว่ามันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ทีมฟุตบอลมีสปอนเซอร์”
ก้อนใหญ่ด้วย? โตโน่ : “ผมไม่ทราบครับ ไม่รู้ว่าก้อนเท่าไหร่ไม่เคยได้ไปถาม รู้แค่ตอนที่ผมเข้ามี 859 บาท ก็อย่างที่ผมบอกพี่ผมมา ผมไม่ได้จับผิดเขา ผมอยากให้เขามีเงินจ่ายค่าน้ำค่าไฟ”
ก่อนที่จะรับเป็นประธานตอนนั้นปรึกษาใครบ้างไหม ? โตโน่ : “ปรึกษาครับ แต่บังเอิญช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมไปแช่ว่านพอดี ก็ปรึกษาหลวงพ่อ”
เห็นว่ามีหนึ่งเงื่อนไขที่รับเป็นประธานสโมสร ? โตโน่ : “เขาต้องให้สิทธิ์บริหารผม 100% ผมต้องเป็นคนตัดสินใจว่าเงินทุกบาทที่เรามี หรือที่เราหามาได้มันจะถูกเอาไปใช่จ่ายแบบไหน อะไรที่มากเกินไปหรืออะไรที่เยอะผิดปกติ เราต้องตัดออก และไม่ใช่นักฟุตบอลที่โดนลดเงินเดือน ทีมหัวหน้าทุกคนก็ต้องโดนลดเหมือนกัน แม้กระทั่งเด็กเก็บบอลก็โดนลดเหมือนกัน เพื่อส่วนส่วนรวม ทุกคนต้องช่วยกันมันถึงจะรอด”
เห็นว่าย้ำมาก คือขอรักษาการเท่านั้น? โตโน่ : “ผมว่ามันไม่สำคัญที่ตำแหน่งหรอก ถ้าวันนึงมีคนที่เก่งกว่าเรา มีเวลามากกว่าเรา มีสมองและมีเงิน เหมาะสมมาช่วยกันทำ”
เห็นว่าตอนนั้นจริงจัง และจริงใจมาก รักษาตำแหน่งปุ๊บแถลงข่าวเลย? โตโน่ : “ใช่ครับ ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งเลยที่ผมไม่ได้เสียเงิน คือการสื่อสาร การพูด การเจรจา ไม่ได้เสียแม้แต่บาทเดียวแค่เราจริงขนาดไหน เราจริงใจไหม เราพูดความจริงกับคนไหม เราเลยเลือกที่จะสื่อสารไปว่าตอนนี้ปัญหาของสโมสรเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงต้องมีการเปลี่ยนทีมผู้บริหาร ทำไมผมต้องขึ้นมารักษาการประธาน ก็เป็นการสื่อสารกับแฟนบอลและคนที่รักฟุตบอล”
วิธีการหาเงินของโตโน่คืออะไร ? โตโน่ : “ผมคิดว่าต้องขายเสื้อ พอแฟนบอลทราบหลังจากที่เราแถลงข่าว เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ คนที่รักเกษตรศาสตร์เขาอยากจะสนับสนุน เขาอยากช่วย เพราะเขารู้ว่าปัญหานี้ไม่ได้เกิดเฉพาะทีมเกษตรศาสตร์ ปัญหานี้เกิดขึ้นอีกหลายทีมที่หวังพึ่งแต่กลุ่มทุนไม่ว่าจะมาจากทางไหนก็ตาม จะสีเทา จากการเมือง เราไม่รู้ครับ แต่ว่าฟุตบอลที่ดีๆ ที่เราเชียร์กัน มันมีแบบอย่างที่ดีที่ควรจะเป็น นั่นคือการซัพพอร์ตจากแฟนบอล สปอนเซอร์เป็นส่วนนึง ซึ่งเราจะชนะไปทำไม เราจะหมดเงินเยอะไปทำไม ถ้ากีฬานั้นไม่ได้สร้างแรงบันดาลใจให้ใครเลย จริงๆ ฟุตบอลไม่ใช่เรื่องของการแพ้-ชนะ ฟุตบอลมันเป็นเรื่องของชีวิต ผมคิดว่าเราควรจะตั้งต้นกันใหม่ อะไรที่เราจะต้องปรับ โครงสร้างอะไรที่มันบิดเบี้ยว อะไรที่ทำให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น สื่อสารกันได้ชัดเจน เราต้องช่วยกันทำ ซึ่งเสื้อเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้เรามีรายได้เข้ามา”
เสื้อออกแบบใหม่เลยไหม ? โตโน่ : “เป็นเสื้อแข่งที่มีอยู่แล้ว แล้วก็ทำมาเพิ่มเพราะก่อนที่ผมจะเข้ามา เขาไปดีลกับยี่ห้อเสื้อต่างประเทศ เขามาเปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทยกับเรา แล้วเขาก็เจอทีเด็ดเลย ด้วยการที่เราไม่มีเงินไปจ่ายค่ามัดจำเอาเสื้อจากเขามาขาย ตอนแรกที่เข้ามานักฟุตบอลถูกบอกไว้เลยว่าห้ามแลกเสื้อ ห้ามแจกเสื้อให้แฟนบอล เพราะเราไม่มีเสื้อใส่ เรามีเสื้ออยู่คนละ 2 ตัว ทีนี้เรารู้แล้วว่าการที่เราจะหารายได้จากการขายเสื้อ เราต้องไปเอาเสื้อออกมาก่อน เราต้องหามัดจำมาก่อน มัดจำมัน 3 แสน แต่โชคดีที่เรามีสปอนเซอร์ช่วย และทำให้เราไปเอาเสื้อมาขายได้ มันก็เลยทำให้ตอนนี้กลายเป็นรายได้หลัก โชคดีมากเพราะขายดีครับ ขอบคุณแฟนบอลทุกคน”
เห็นว่าขายจนของผลิตไม่ทัน ? โตโน่ : “ผลิตไม่ทันครับ เขาตั้งใจว่าฤดูกาลนี้น่าจะ 2 พันตัว แต่ตอนนี้มัน 4 พันครับ แล้วไม่น่าจะหยุดอยู่แค่นี้ และไม่น่าจะรวมกับเสื้อยืดที่อันนี้เราทำกับแบรนด์ของคนไทย อันนี้เราควบคุมต้นทุนได้ แล้วแฟนบอลก็ยังสนับสนุนต่ออีก จากที่นักเตะเราไม่ได้เงินเลย ตอนนี้นักเตะเราได้เงินเดือนแล้ว ผมก็คุยกับเพื่อนตรงๆ กูไม่ได้ไปตกลงกับมึงที่ต้องมารับผิดชอบพวกนี้ ดังนั้นถ้าจะผ่านไปได้ทุกคนต้องช่วยกัน ก็ลดเงินเดือน 50% ในเดือนแรก ขายเสื้อได้ เอาเงินสปอนเซอร์ เอาเงินตัวเองมาช่วยกัน แล้วเดือนที่2 ก็ค่อยเพิ่มเป็น 55% เดือนนี้จะเพิ่มเป็น 60% แต่เราก็มีเป้าหมาย เราอยากจะจ่ายให้ทุกคน 100% ทุกเดือนจนกว่าจะจบซีซั่นนี้ อันนี้เป็นแผนที่เราอยากจะทำ ก็เลยคิดว่าเสื้อ 5 พันตัวนี้ ทุกคนอาจจะช่วยทีมได้ เพราะเรายังขาดเงินอยู่แค่ 2.8 ล้าน”
อยากรู้ว่าทำทำไม ทำไมไม่อยู่แบบสบายๆ อย่างที่ควรจะเป็น เหนื่อยเพื่ออะไร? โตโน่ : “ผมว่าผมไม่ได้ดีกว่าคนอื่นด้วย อย่างที่บอกไปมันมีให้ผมเลือกแค่สองอัน ช่วยกับทิ้ง ถ้าผมทิ้ง ลูกเพื่อนผมจะเรียนยังไง แม่ผมก็เคยเป็นหนี้ 18 ล้าน พ่อผมตาย ผมรู้ว่ามันลำบากกับการที่เราต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้ ตอนนั้นผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมจะช่วยได้กี่ % แต่เราลองสู้ด้วยกันก่อน ในเมื่อมันไม่มีทางให้เราถอย ถ้าเรายอมแพ้ก็คือยุบทีมไป อันนี้ผมพูดถึงทีมนั้น 50 ครอบครัว ผมยังไม่ได้พูดถึง พ่อค้า แม่ค้า ที่เขาขายของรอบสนามฟุตบอล ถ้าเกิดทีมนี้โดนยุบ ใครบ้างที่ได้รับผลกระทบ ถ้าเราไม่สู้ ถ้าเราไม่ลองดูสักตั้ง แต่สุดท้ายถ้าเราสู้แล้วเราแพ้ก็ไม่เป็นไร เราทำเต็มที่แล้ว”
ได้ข้อมูลมาว่าบางทีคุณเอาเงินจากทิปที่ไปเล่นคอนเสิร์ต มาโป๊ะเงินเดือนให้มันครบด้วย? โตโน่ : “มันจะมีบางคน สมมติเงินเดือน 40,000 เค้าโดนลด 50% 20,000 เขายังอยู่ไหว แต่บางคนเงินเดือน 12,000 แล้วลด 50% เท่ากับเดือนนั้นมัน 6,000 มันอยู่ไม่ได้ ถ้าผมเติมให้ได้คนละ 2-3 พัน สัก 6-7 คน มันก็ไม่ได้ลำบากผมจนเกินไป”
พี่ส้ม : “เป็นคนไม่อินกีฬา แต่มีลูกชายที่ชอบเล่นฟุตบอล แล้วส้มเห็นข่าวโตโน่มาหลายอาทิตย์แล้ว แล้วรู้สึกอินมาก มันหายากนะกับคนที่จะมาทุ่มเทเพราะมันเหนื่อย แล้วกว่าจะมีวันนี้คุณคงสู้มาก เราก็ไม่ได้มีเงินอะไรเยอะแยะ แต่เราอยากจะสนับสนุน 50,000 บาท อยากให้ทุกคนสนับสนุนกีฬา นอกจากสร้างชื่อเสียงให้ประเทศชาติแล้ว ยังทำให้ร่างกายแข็งแรง”
บอกอะไรกับพี่ส้มหน่อย ? โตโน่ : “ผมขอบคุณพี่ส้มมากครับ ตอนแรกเจอกันข้างนอกไม่รู้ว่าจะมาบริจาค ก็ยังได้คุยกันว่าเจอพี่ส้มตั้งแต่ที่ทำกับพี่วู้ดดี้ ดีใจครับ ขอบคุณมากครับพี่ส้ม แต่ผมบอกก่อนนะครับการที่เราจะทำให้ยั่งยืนได้ไม่ใช่เป็นการขอเงิน เราทำเสื้อให้มันสวย”
ก่อนอื่นต้องขอแสดงความเสียใจที่เพิ่งสูญเสียอาม่า ? โตโน่ : “ครับ อาม่าจากไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้วครับ อาม่าอายุ 106 ปีครับ”
ย้อนเหตุการณ์ก่อนที่อาม่าจะเสีย อาม่าเคยวิญญาณหลุดออกจากร่าง? โตโน่ : “ตอนนั้นเราออกมาจากบ้านเดอะสตาร์ใหม่ๆ แล้วโจรปล้นบ้านอาม่า เข้ามาแล้วฆ่าอาม่า เอาหมอนปิดหน้า จนคิดว่าอาม่าตายแล้ว แล้วเขาก็ลากอาม่าไป สรุปพอเขาขโมยของออกไปแล้ว อาม่าฟื้น แล้วอาม่าก็มาเล่าให้ฟังว่าเห็นอะไรบ้าง เขาเห็นร่างตัวเองนอนอยู่ เห็นว่าเขาลากแกไปยังไง แกก็ยืนดูอยู่ แกจะเล่าทุกอย่างให้ตำรวจฟัง สุดท้ายก็จับโจรได้ ตอนนั้นอาม่าน่าจะอายุประมาณ 90 กว่าปี แต่โจรเป็นคนที่แกรู้จัก เคยเห็นมาก่อน”
เห็นว่าอาม่ากับโตโน่สนิทกันมาก ? โตโน่ : “ใช่ครับ แต่ก่อนผมอยู่ขอนแก่น เวลาปิดเทอม ผมจะมานอนบ้านอาม่าที่กรุงเทพฯ เวลาตรุษจีนแกก็จะให้เงิน เป็นช่วงเวลาที่มีความสุข อาม่าจะเจียวไข่ให้กิน คอยทำกุนเชียงให้กิน แล้วก็คอยสอนเรา”
ตอนนี้โตโน่ไม่ได้มีอะไรติดค้าง ตอนอาม่ามีชีวิตอยู่ โตโน่ดูแลดีมาก? โตโน่ : “ผมว่าญาติทุกคนช่วยกันครับ ตัวผมเองไม่ได้ไปหาท่านทุกวันเพราะทำงาน แต่ผมก็สบายใจที่คุณแม่ผม อาอึ้ม น้องๆ หลานๆ ช่วยกันดูแลท่าน ท่านไม่เหงาแน่นอน”
ถ้าตอนนี้อาม่าได้ยินอยากบอกอะไรกับอาม่าไหม ? โตโน่ : “ผมเชื่ออย่างหนึ่งตั้งแต่วันที่ผมเสียพ่อ จนวันนี้ผมเสียอาม่า เลือดของคุณพ่อผม เลือดของอาม่าผมก็อยู่ในตัวผมอยู่ดี ในเรื่องของความเชื่อ นรก สวรรค์ แต่ละคนมีความเชื่อที่แตกต่างกันออกไป แต่ความจริงแน่ๆ เลย เลือดของเขาอยู่ในตัวผม ผมจะเอาความรักของทั้งอาม่า ของทั้งคุณพ่อไว้เตือนใจ เวลาที่ผมจะทำอะไรที่มันไม่ดี หรือถ้าผมทำอะไรที่มันดีอยู่ ขอให้ท่านส่งพลังให้ผมทำให้สำเร็จ”.